ว่าด้วยสินเชื่อส่วนบุคคล

สินเชื่อในปัจจุบันมีกระแสตอบรับที่ดีมากและได้รับความนิยมมาก หนึ่งในสินเชื่อที่ลูกค้าต่างติดต่อขอมีสินเชื่อหนึ่งในนั้นคือ สินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งตอบสนองกับความต้องการของผู้ที่ต้องการขยายฐานธุรกิจหรือมีธุรกิจ กิจการเป็นของตัวเอง หรือแม้แต่การขอสินเชื่อเพื่อการเช่าซื้อรถยนต์ สินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SMEs ยกตัวอย่างธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่มาขอสินเชื่อ เช่น ร้านอินเตอร์เน็ต ร้านให้บริการเช่าหนังสือ เป็นต้น

ธุรกิจอื่นๆ ที่มีขนาดไม่ใหญ่จนเกินไปก็เช่นกัน สามารถขอสินเชื่อได้ ซึ่งสินเชื่อส่วนบุคคลเป็นสินเชื่อที่ผู้ขอ จะได้รับเงินเป็นก้อน เพื่อการใช้จ่ายตามความเหมาะสมของผู้ขอ ธนาคารหรือผู้ให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลจะอนุมัติจำนวนเงินอยู่ที่ห้าเท่าของเงินเดือน ข้อดีของสินเชื่อส่วนบุคคล คือไม่ต้องมีบุคคลเข้ามาค้ำประกันหรือไม่ต้องมีหลักทรัพย์มาค้ำประกัน

อันที่จริงแล้ววัตถุประสงค์ของการขอสินเชื่อส่วนบุคคลอาจนอกเหนือไปจากการทำมาหากิน ผู้ที่ขอสินเชื่อส่วนบุคคลอาจนำเงินที่ได้ไปใช้เพื่อการอื่นได้ เช่น ค่าท่องเที่ยว ค่าเล่าเรียน หรือแม้กระทั่งเพื่อการชำระหนี้ และเมื่อก่อนเราคงเคยได้ยินคำว่าเงินกู้ ซึ่งจะบอกว่าเป็นรากศัพท์ของสินเชื่อก็คงได้กระมัง แต่เวลาผ่านไป การแข่งขันมีมาก การสร้างความแตกต่างให้ดูไฉไลกว่า จึงเกิดเป็นคำว่า สินเชื่อส่วนบุคคล ขึ้น อาจเรียกว่าเป็นเทคนิคในการเรียกลูกค้าหรือโน้มน้าวให้ลูกค้าหันมาสนใจมากกว่าคำว่าเงินกู้ที่ดูฮาร์ดคอร์ไปหน่อย

การขอสินเชื่อส่วนบุคคล ไม่ว่าจะเพื่อจุดประสงค์ใดโดยหลักใหญ่ใจความแล้วมีแหล่งให้บริการอยู่แค่สองส่วนคือ สินเชื่อส่วนบุคคลจากธนาคารพาณิชย์ และสินเชื่อส่วนบุคคลที่เป็นสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (ทราบกันดีแล้วว่าที่เรียกว่า Non-Bank) ดูจากสองเซคเตอร์นี้ก็รู้แล้วว่าตลาดสินเชื่อส่วนบุคคลแข่งขันกันเอาเป็นเอาตาย และอาจกล่าวได้ว่าแบ่งลูกค้ากันชัดเจน เช่น ธนาคารพาณิชย์จะพิจารณาอนุมัติลูกค้าที่ที่มีรายได้ประมาณ 10,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป ในขณะที่ Non-Bank จะขอส่วนแบ่งจากลูกค้าที่มีรายได้ที่ต่ำกว่า 10,000 บาทต่อเดือน เป็นต้น

สินเชื่อส่วนบุคคลจะมีการกำหนดระยะเวลากู้ที่แน่นอน อัตราดอกเบี้ยคงที่ คือมีการชำระเงินรายเดือนๆ ละเท่าๆ กัน โดนอาจเป็นเงินสดหรือสิ่งของก็ได้ ดังนั้น หากคุณเป็นคนหนึ่งที่มีเหตุให้ต้องใช้เงิน แต่ขาดเงินรองรัง พูดง่ายๆ ก็คือไม่มีเงินนั่นเอง สินเชื่อบุคคลในกรณีนี้จึงเป็นทางออกที่น่าจะง่ายที่สุด ดีกว่าการไปขอหยิบขอยืมจากเพื่อนฝูงหรือญาติผู้ใหญ่ หรือแม้แต่เงินกู้นอกระบบ ดังนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่ คุณกำลังตกอยู่ในภาวะที่ต้องเผชิญกับค่าใช้จ่ายที่เกินกำลัง หรืออยู่ในสถานการณ์ฉุกละหุก ฉุกเฉิน ไม่คาดคิด เช่น การย้ายถิ่นฐาน การยอมเป็นหนี้หรือขอสินเชื่อส่วนบุคคลย่อมยอมรับได้และดีกว่าการเป็นหนี้บัตรเครดิต แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อส่วนบุคคลอาจแพงกว่า แต่หากคุณกำหนดจำนวนเงินเพื่อการชำระเงินรายเดือนไว้เลยอย่างชัดเจน และมีวินัยปฏิบัติตัวตามสิ่งที่ตั้งเป้าหมายไว้ จะทำให้คุณเห็นอนาคตเลยว่าจะชำระหนี้ได้เมื่อไหร่ เช่นเดียวกับหลักการชำระหนี้อื่นๆ ว่า การอยู่ในวังวนจ่ายหนี้น้อย และจ่ายนาน ยิ่งทำให้หนี้เพิ่มพูนแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว หรือมีความจำเป็นต้องใช้เงินสดเฉพาะกิจ และมีการบริหารจัดการที่ดี คุณเองก็จะทราบได้เช่นกันว่าจะขอสินเชื่อเท่าไหร่และใช้หนี้หมดได้อย่างไร และภายในเมื่อไหร่

สิ่งสำคัญอีกประการคือ ด้วยกลไกทางการตลาด ทำให้มีการคำนวณดอกเบี้ยของสินเชื่อแต่ละแบบไว้ ทั้งนี้ สินเชื่อส่วนบุคคลมีอัตราดอกเบี้ยที่ 28% ต่อปี ไม่มากกว่านี้ เพราะนี่ก็สูงมากแล้ว สาเหตุที่ทำให้การคำนวณอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อส่วนบุคคลสูงก็เพราะเป็นการคำนวณเพิ่มตามความเสี่ยงของเจ้าหนี้ หรือคนปล่อยกู้ พูดง่ายๆ คือ เจ้าหนี้เองก็มีความเสี่ยงที่ลูกหนี้จะเบี้ยวหรือไม่ชำระหนี้สูง หรือที่เรียกว่า ความเสี่ยงที่หนี้จะสูญมีเยอะ ดังนั้น เมื่อมีความเสี่ยงสูงก็จะมีอัตราดอกเบี้ยสูง ประกอบกับคุณสมบัติของผู้ขอสินเชื่อส่วนบุคคลนั้นไม่สตริคมาก เช่น กำหนดคุณสมบัติส่วนของรายได้ของผู้กู้ที่ต่ำ ส่งผลให้กลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้มีพาวเวอร์ในการชำระหนี้ต่ำลงด้วยเช่นเดียวกัน และยิ่งกู้มากยิ่งทำให้เกินความสามารถในการชำระหนี้ หากคิดเป็นตรรกะ อาจพูดได้ว่าคิดคำนวณอัตราดอกเบี้ยสูงเพื่อชดเชยความเสี่ยงที่สูงนั่นแหละ

ทั้งหมดนี้ จะเห็นว่าการขอสินเชื่อหากไม่ระมัดระวัง โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือนที่มีรายได้ฟิกซ์ หากก่อหนี้เพิ่มมีแต่เสียกับเสี แทนที่จะสุขสบายกลับต้องมาแบกภาระหนี้เข้าไปอีก และเกิดเป็นปัญหาบานปลายเมื่อพบปัญหาหนี้สินรุงรัง ต่อให้ปรับปรุงโครงสร้างหนี้แล้วก็เถอะ เพราะกลไกการตลาดเจ้าหนี้จะยอมเจรจาประนอมหนี้ทุกครั้งหรือ และดีไม่ดี มีประวัติแบลคลิสต์อยู่ในเครดิตบูโร จะยิ่งทำให้การขอสินเชื่อต่อในอนาคตยิ่งมีปัญหา

ดังนั้น หากจะว่าไปแล้ว พูดตามความจริงหรือธรรมชาติ ก็คงไม่มีใครเสียเปรียบใคร เพราะอย่างที่กล่าวแล้วว่าเป็นการเซ็ตตามกระบวนการบริหารจัดการหนี้ มิเช่นนั้น ธนาคารหรือเจ้าหนี้คงไม่กล้าลงทุน หรือขาดทุนกันระนาวกราวรูดไปหมดแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวลูกหนี้แต่ละคนเองว่าจะเลือกใช้บริการกู้แบบไหน และกับสถาบันไหนจึงจะปลอดภัยและไม่เสี่ยงมากที่สุด และทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้เป็นการยุยงส่งเสริมให้ไปเป็นหนี้สินเชื่อบุคคล หากคุณมีการจัดการเงินที่ดีอยู่แล้ว